รักษาฝ้า

บอกวิธีการรักษาฝ้าทำได้อย่างไร รวมถึงการดูแลตนเองให้ห่างไกลจากการเกิดฝ้า

ปัญหาการมีฝ้ากระอาจจะไม่ได้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของคุณโดยตรง แต่อาจมีผลต่อความรู้สึก เช่น ความไม่สบายใจ หรือความไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ของตนเอง บางคนอาจรู้สึกไม่พอใจกับรูปลักษณ์ที่มีฝ้ากระบนใบหน้า และมองว่าตนเองไม่สวย จนอาจส่งผลให้เกิดความเครียดหรือปัญหาสุขภาพจิตได้ ซึ่งวิธีการรักษาฝ้าสามารถทำได้หลากหลายวิธี บทความนี้บอกวิธีรักษาฝ้าด้วยตัวเอง รวมถึงการดูแลป้องกันผิวหน้าตนเอง ให้คุณห่างไกลจากการเป็นฝ้าตั้งแต่เนิ่นๆ


ฝ้าคืออะไร? อันตรายไหม?

วิธีรักษาฝ้าฮอร์โมน

ฝ้าเป็นจุดด่างที่ปรากฏบนผิวหนัง มักเป็นสีนูนหรือเข้มขึ้นจากสีผิวปกติ ฝ้ามักเกิดจากการเกิดเซลล์เมลาโนไซต์ (melanocytes) ที่ผิวหนัง ซึ่งเป็นเซลล์ที่ผลิตเมลาโนซิต์ สารที่ช่วยให้ผิวมีสี ฝ้ามักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของการผลิตเมลาโนซิต์ในพื้นที่เฉพาะของผิวหนัง ซึ่งอาจเกิดจากการแสงแดด, การสัมผัสกับฮอร์โมนเพศ, หรือแม้กระทั่งการตั้งครรภ์

ส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตรายและไม่จำเป็นต้องรักษาฝ้า เว้นแต่ว่ามันมีลักษณะที่ผิดปกติหรือมีการเปลี่ยนแปลงของขนาดหรือรูปร่าง หากมีความเสี่ยงที่ฝ้าอาจเปลี่ยนเป็นมะเร็งผิวหนัง เช่น การกระจายของเซลล์เมลาโนมากขึ้น แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดหรือทำการรักษาเพิ่มเติมตามความเหมาะสม


ฝ้า มีสาเหตุเกิดจากอะไร?

หน้าเป็นฝ้า รักษาอย่างไร

ก่อนจะไปทราบวิธีการรักษาฝ้า มาทำความรู้จักกับฝ้าว่ามีสาเหตุจากอะไรกันก่อน ฝ้า เกิดจากเซลล์เมลาโนไซต์ (melanocytes) ในผิวหนังที่ผลิตเมลาโนซิต์ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้ผิวมีสี สำหรับผู้ที่มีผิวขาวจะเห็นฝ้า กระ ชัดเจนกว่าคนทั่วไป โดยแสงแดดจะเป็นตัวการกระตุ้นการสร้างเมลาโนซิต์จากเซลล์เมลาโนไซต์อย่างมากขึ้น ทำให้มีการเกิดฝ้าบนผิวหนังอย่างเห็นได้ชัด และมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อการเกิดของฝ้าได้ โดยมีดังนี้

1. การสัมผัสแสงแดด แสงแดดเป็นสาเหตุหลักของการเกิดฝ้ามากที่สุด แสง UV จากรังสีแดดทั้ง UVA และ UVB สามารถกระตุ้นเมลาโนไซต์ในผิวหนังให้สร้างเมลาโนซิต์เพิ่มขึ้น เมื่อมีการสัมผัสแสงแดดมากเกินไปอาจทำให้เมลาโนไซต์ในผิวหนังเพิ่มขึ้นและเกิดฝ้าได้ 

2. พันธุกรรม ฝ้ามีความสัมพันธ์กับพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากบิดามารดาหรือปู่ย่าตายาย หากคนในครอบครัวมีประวัติการเกิดฝ้ามาก่อน อาจทำให้มีความน่าจะเป็นที่ฝ้าจะถูกส่งต่อให้กับคนในครอบครัวเดียวกันเช่นกัน

3. การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในระหว่างการตั้งครรภ์, ในช่วงวัยรุ่น, หรือการใช้ยาคุมกำเนิดอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้าทั้งสิ้น

4. ความเครียด สภาวะเครียดหรือการตกอยู่ในสภาวะวิตกกังวลอาจมีผลต่อการเกิดฝ้าได้

5. การใช้ยาบางชนิด การใช้ยารักษาที่อาจมีผลต่อการเกิดฝ้า ยกตัวอย่างเช่น 

  • ยาคุมกำเนิด: การใช้ยาคุมกำเนิดอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งอาจกระตุ้นการสร้างเมลาโนซิต์ที่ทำให้เกิดการเกิดฝ้าได้ 
  • ยาต้านอักเสบ (Anti-inflammatory drugs): อาจทำให้ผิวหนังแพ้ต่อแสงแดดมากขึ้น ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดฝ้า
  • ยาที่มีส่วนผสมที่ทำให้ผิวไวต่อแสงแดด (Photosensitizing drugs): บางยามีส่วนประกอบที่ทำให้ผิวหนังแพ้ง่ายและเซนซิทีฟต่อแสงแดดมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดฝ้าได้ เช่น ยาที่มีส่วนประกอบเป็นอันตรายเมทอติน
  • ยาต้านเชื้อ (Antibiotics): บางยาต้านเชื้ออาจทำให้ผิวหนังแพ้ต่อแสงแดดมากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดฝ้า

6. การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ก็มีผลต่อการเกิดของฝ้าได้ โดยเฉพาะสภาวะอากาศที่ร้อนและชื้นมากๆ อาจกระตุ้นการเกิดฝ้าเพิ่มขึ้น


ฝ้า มีวิธีรักษาอย่างไร?

รักษาฝ้าแบบธรรมชาติ

การรักษาฝ้ามักจะขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของฝ้า โดยวิธีการรักษาฝ้าที่ถูกต้องและเห็นผล มีดังนี้

  • การใช้ครีมทาฝ้า เนื่องจากครีมทาฝ้าที่มีส่วนประกอบที่ช่วยลดความเข้มข้นของฝ้า ส่วนใหญ่เป็นครีมที่มีส่วนผสมของกรดอัลฟาไฮโดรกซี่ (alpha hydroxy acids) เช่น กรดกลูตามิค (glycolic acid) หรือกรดลากลิค (lactic acid) ซึ่งช่วยทำให้ฝ้าแลดูจางลงได้
  • การใช้ยารักษาฝ้า ตัวยาที่แพทย์แนะนำเพื่อในใช้การลดเลือนความเข้มของฝ้าบนใบหน้า อย่างเช่น ยาที่มีส่วนประกอบของไรโนไซไอด์ (Hydroquinone) หรือทรีโนยูเจิน (Tretinoin) เป็นต้น
  • การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น การทำเลเซอร์ฝ้า ซึ่งสามารถรักษาได้ทั้งฝ้า กระ จุดด่างดำ ซึ่งจะมีเครื่องเลเซอร์ Intense Pulsed Light หรือ IPL, Q-Switch Nd:YAG laser, Dual Yellow Laser, Picoway Laser ที่สามารถช่วยรักษาฝ้าแดดได้ โดยการย่อยเมลาโนซิต์ในชั้นผิวหนัง
  • การใช้สารเคมีบางชนิด แพทย์อาจใช้สารเคมีเพื่อเป็นการควบคุมการผลิตเมลาโนซิต์ในผิวหนัง ซึ่งสามารถช่วยลดฝ้าได้ สารที่ใช้กันมักเป็นกรดอัลฟาไฮโดรกซี่ (alpha hydroxy acids) เช่น กรดกลูตามิค (glycolic acid) หรือกรดลากลิค (lactic acid) หรือสารอื่นๆ เช่น ไรโนไซไอด์ (Hydroquinone)
  • การผ่าตัด ในบางกรณีที่ฝ้ามีขนาดใหญ่หรือรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล แพทย์อาจต้องใช้เครื่องมือผ่าตัดเพื่อตัดฝ้าตรงโหนกแก้มออก ซึ่งระหว่างการดำเนินการแพทย์จะใช้ทักษะและความระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายผิวหนังที่ไม่เกี่ยวข้อง

การรักษาฝ้าต้องใช้เวลาและการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลลัพธ์เห็นผลได้อย่างชัดเจนที่สุด เพราะฝ้าไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จึงมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำเมื่อมีการหยุดรักษา ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง เพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด 


ฝ้า มีวิธีการดูแลและป้องกันอย่างไร?

วิธีรักษาฝ้า กระ

การดูแลรักษาและป้องกันการเกิดฝ้าสามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

  • ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน การป้องกันการสัมผัสแสงแดดเป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันการเกิดฝ้า ใช้ครีมกันแดดทุกวันที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสง UVB และ UVA
  • สวมหมวกหรือใส่เสื้อผ้าที่สามารถป้องกันแสงยูวีได้ เป็นวิธีการสร้างเกราะป้องกันจากแสงแดดอย่างมีประสิทธิภาพ 
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ที่ๆ โดนแสงแดดส่องถึง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่แสงแดดมีความเข้มข้นสูงที่สุด ซึ่งเป็นช่วงเวลาระหว่าง 10 โมงเช้าถึง 4 โมงบ่าย
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่อาจทำให้ผิวหนังแพ้ต่อแสงแดดมากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดฝ้า ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่เพื่อรักษาผิวหนังของคุณให้แข็งแรง
  • การดูแลผิวหน้าอย่างเหมาะสม โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับประเภทของผิวและสภาพผิวของแต่ละคน รวมไปถึงการทำความสะอาดผิวหน้า, ใช้ครีมบำรุงหน้าที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และให้ความชุ่มชื่นให้กับผิวหน้าได้อย่างเพียงพอ

การรักษาฝ้าโดยการป้องกันการเกิดฝ้าตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นเรื่องที่สำคัญในการรักษาสุขภาพผิวหนังให้ดี การใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอและการป้องกันการสัมผัสแสงแดดโดยตรงจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพื่อไม่ให้ต้องมาเสียเงินรักษาฝ้า กระในราคาแพงๆ


สรุป รักษาฝ้ามีวิธีอะไรบ้าง

ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ เป็นเรื่องที่กวนใจใครหลายคน ถึงแม้ว่าจะมีวิธีรักษาฝ้าลึกโดยการเลเซอร์ฝ้าแล้วนั้น แต่ก็อาจมีข้อกำจัดเรื่องสภาพผิวหน้าของแต่ละบุคคล รวมไปถึงค่ารักษาที่ค่อนสูง ดังนั้นการดูแลและป้องกันฝ้าสามารถเริ่มด้วยตนเองง่ายๆ โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดด, การใช้ครีมกันแดด, การดูแลผิวหน้าอย่างเหมาะสม และการฝึกควบคุมอารมณ์ ความเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในร่างกาย

อย่างไรก็ตาม การมีฝ้ากระไม่ได้ส่งผลต่อความมั่นใจให้เท่าไหร่ บางคนกลับมองว่าฝ้ากระเป็นส่วนหนึ่งของเสน่ห์หรือเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นตัวเอง และมองเห็นว่ามันไม่ได้มีผลต่อความสุขหรือคุณค่าของชีวิตของตนเอง

สำหรับใครที่รู้สึกไม่พอใจหรือไม่สบายใจเกี่ยวกับฝ้ากระ การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการรักษาฝ้า หรือการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์อาจช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและความสุขในชีวิตประจำวันจึงเป็นทางออกที่ดี


Similar Posts