อาการไข้หวัดใหญ่ เช็กอาการโรคใกล้ตัว พร้อมเรียนรู้วิธีป้องกัน
ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงคงไม่แปลกที่หลาย ๆ คนจะรู้สึกป่วย ไม่สบายง่าย รวมถึงปวดเมื่อยตามตัว ซึ่งโรคที่สามารถพบเจอได้บ่อยในช่วงอากาศเปลี่ยนก็คือ โรคไข้หวัดใหญ่ โดยอาการไข้หวัดใหญ่แม้ดูเหมือนจะคล้ายกับอาการไข้หวัดธรรมดาก็จริง แต่โรคนี้มักมีอาการที่รุนแรงกว่า นอกจากนี้ในบางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนเพิ่มเติมอีกด้วย เช่น ปอดอักเสบ ภาวะติดเชื้อในหู โรคหอบหืด เป็นต้น การเรียนรู้สาเหตุและวิธีป้องกันอาการของไข้หวัดใหญ่จึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งในบทความนี้เราจะพาทุกคนมาดูกันว่าสาเหตุโรคไข้หวัดใหญ่มีอะไรบ้าง มีวิธีป้องกันอย่างไร ถ้าพร้อมแล้ว ตามมาดูกันเลย!
ชวนทำความรู้จักโรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) คือ โรคติดเชื้อผ่านระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza Virus) ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นละอองฝอยจากการไอ จาม หรือสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยอาการไข้หวัดใหญ่เบื้องต้น ได้แก่ ไข้สูง, หนาวสั่น, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, รู้สึกอ่อนเพลียง่าย เป็นต้น
โดยไข้หวัดใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย และมักมีการระบาดในช่วงเปลี่ยนฤดูกาล แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะหายเองภายใน 1-2 สัปดาห์ด้วยการรับประทานยา แต่ในบางกรณี โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว หากรักษาอาการไข้หวัดใหญ่ไม่ถูกวิธีอาจเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ เช่น ปอดอักเสบ หรือภาวะระบบทางเดินหายใจล้มเหลว
ไขข้อสงสัย “อาการไข้หวัดใหญ่กับไข้หวัดธรรมดาต่างกันยังไง”
บางคนอาจจะมีความสับสนกันอยู่ว่าอาการไข้หวัดใหญ่กับไข้หวัดธรรมดาคล้ายกันไหม มีข้อแตกต่างกันในส่วนไหนบ้าง? ความจริงแล้วลักษณะอาการโรคไข้หวัดใหญ่เหมือนกับไข้หวัดธรรมดาทั่วไป แต่จะมีระดับความรุนแรงของอาการมากกว่า หากเป็นโรคไข้หวัดธรรมดาในช่วงเบื้องต้นอาการจะออกอย่างช้า ๆ ในขณะที่คนที่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่จะมีอาการรุนแรงและเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยมักมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามร่างกายอย่างรุนแรง ปวดศีรษะ ไอแห้ง ทั้งยังอาจมีอาการเจ็บคอหรือคัดจมูกร่วมด้วย
นอกจากนี้ผู้ป่วยเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังหรือโรคประจำตัวที่มีอาการไข้หวัดใหญ่ ยังมีโอกาสเสี่ยงเกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อันตรายถึงแก่ชีวิตได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ หรือภาวะระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ผู้ที่พบว่าตนเองมีอาการเสี่ยงเป็นไข้หวัดใหญ่จึงควรหมั่นสังเกตอาการและรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาตรวจไข้หวัดใหญ่และติดตามอาการในขั้นต่อ ๆ ไป
รวมอาการไข้หวัดใหญ่ที่เกิดขึ้นกับเด็กและผู้ใหญ่
อย่างที่กล่าวไปว่าโรคไข้หวัดใหญ่ หรือ Influenza Virus คือหนึ่งในโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ซึ่งโดยทั่วไปอาการไข้หวัดใหญ่ของทั้งสองช่วงวัยนี้มีความคล้ายกัน แต่ในเด็กอาจมีอาการบางอย่างที่พบได้บ่อยกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งลักษณะอาการจะเป็นอย่างไรบ้าง ตามมาดูที่ด้านล่างนี้กันเลย
อาการไข้หวัดใหญ่ในเด็ก
- มีอาการไข้สูงมากกว่า 39°C และไข้ขึ้นเร็ว
- ปวดกล้ามเนื้อรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณหลัง แขน ขา รู้สึกไม่สบายตัว
- น้ำมูกไหล คัดจมูก หายใจไม่สะดวก
- เบื่ออาหาร ไม่อยากดื่มน้ำ
- คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย (พบบ่อยกว่าในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่)
- ในเด็กเล็กอาจมีโอากาสเสี่ยงชักจากไข้สูงได้
- หายใจเร็วหรือหอบ (หนึ่งในอาการที่อาจบ่งบอกถึงภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ปอดอักเสบ)
อาการไข้หวัดใหญ่ในผู้ใหญ่
- รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
- อ่อนเพลีย รู้สึกหมดแรงและเหนื่อยง่าย
- มีไข้ รู้สึกหนาวสั่น
- ปวดรอบดวงตา หรือมีอาการตาแดง
- ปวดศีรษะ รู้สึกหนักหัวหรือเวียนศีรษะ
- มีอาการเจ็บคอ ไอแห้ง และอาจมีอาการเสียงแหบร่วมด้วย
- คัดจมูก มีน้ำมูก หายใจถี่กว่าปกติ
- บางรายอาจมีอาการท้องเสียและคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
6 วิธีป้องกันอาการไข้หวัดใหญ่ ทำตามได้ง่าย ๆ
หลังจากที่ได้รู้ว่าอาการคนเป็นไข้หวัดใหญ่เรียบร้อยแล้ว เพื่อป้องกันการติดต่อจากผู้เป็นโรคไข้หวัดใหญ่จึงควรเรียนรู้วิธีป้องกันและการดูแลตนเองให้ดี เบื้องต้นเราได้รวบรวมวิธีป้องกันอาการไข้หวัดใหญ่ 6 วิธีที่สามารถทำตามได้ง่าย ๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มาให้คุณแล้ว
- ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี : วัคซีนช่วยลดโอกาสเสี่ยงมีอาการไข้หวัดใหญ่และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะผู้ที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว
- ล้างมือเป็นประจำด้วยสบู่และน้ำสะอาด : ควรล้างมือให้สะอาดอย่างถูกวิธี โดยล้างมือนานอย่างน้อย 20 วินาที และล้างมือทุกครั้งเมื่อมีการหยิบจับสิ่งของต่าง ๆ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า โดยเฉพาะตา จมูก และปาก : เนื่องจากเสี่ยงทำให้ไวรัสเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อบุตา จมูก และปากได้ง่าย
- สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่แออัด หรือเมื่อมีอาการป่วย : สวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกข้างนอกหรืออยู่ในพื้นที่แออัด เพื่อป้องกันความเสี่ยงการติดเชื้อจากผู้มีอาการไข้หวัดใหญ่
- หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ : หลีกเลี่ยงอยู่ในสถานที่แออัดโดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาด
- ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง : นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
ผลกระทบและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากไข้หวัดใหญ่มีอะไรบ้าง ?
สิ่งสำคัญที่ควรระมัดระวังอย่างมากนอกเหนือจากการเฝ้าดูอาการไข้หวัดใหญ่แล้วก็คือ ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากอาการดังกล่าว เพราะกลุ่มภาวะแทรกซ้อนดังต่อไปนี้อาจส่งเสริมให้เกิดผลร้ายแรงจนถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ทีเดียว
- ปอดอักเสบ (Pneumonia) : ปอดติดเชื้อและอักเสบ ส่งผลให้หายใจลำบากและเกิดภาวะขาดออกซิเจนได้
- หลอดลมอักเสบ (Bronchitis) : การติดเชื้อที่หลอดลมส่งผลให้เกิดอาการไอเรื้อรังและหายใจลำบาก
- ภาวะระบบทางเดินหายใจล้มเหลว : ภาวะที่ระบบหายใจไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ซึ่งเกิดจากปอดไม่สามารถส่งออกซิเจนไปเลี้ยงเลือดได้เพียงพอ
- ภาวะติดเชื้อในหู (Otitis media) : หูมีการติดเชื้อไวรัสทำให้รู้สึกเจ็บหูหรืออาจสูญเสียการได้ยินชั่วคราว
- โรคหอบหืด (Asthma) : อาการไข้หวัดใหญ่สามารถกระตุ้นหรือทำให้โรคหอบหืดกำเริบในผู้ที่มีประวัติเป็นโรคหอบหืดได้ อาจทำให้มีอาการหายใจลำบาก ไอ หรือหอบเหนื่อยมากกว่าปกติ
อาการไข้หวัดใหญ่กี่วันหาย โรคใกล้ตัวที่ควรเฝ้าระวัง
โดยสรุปแล้วอาการไข้หวัดใหญ่มีความคล้ายกับอาการไข้หวัดธรรมดาก็จริง แต่แตกต่างกันตรงที่ระดับความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้น รวมไปถึงภาวะแทรกซ้อนที่เสี่ยงทำให้เป็นอันตรายต่อชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง
ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่าไข้หวัดใหญ่กี่วันหาย? โดยทั่วไปแล้วอาการดังกล่าวจะหายภายใน 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของอาการ อายุของผู้ป่วย และสภาพร่างกาย หากได้รับการรักษาที่เหมาะสมและทานยาแก้ไข้หวัดใหญ่ ก็จะช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วยและบรรเทาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ