เสริมหน้าอกอย่างไรให้เหมาะกับตนเอง รวมข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ
การเสริมหน้าอกเป็นศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพราะไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มขนาดหน้าอก เพิ่มความมั่นใจในรูปร่างและบุคลิกภาพ แต่ยังช่วยปรับสมดุลให้สัดส่วนดูสวยงามและลงตัวมากขึ้น สำหรับใครที่กำลังสนใจการเสริมหน้าอก การศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการ ขั้นตอน และปัจจัยสำคัญต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับรายละเอียดทั้งหมดที่ควรรู้เกี่ยวกับการทำนม ตั้งแต่เสริมหน้าอกคืออะไร ประเภทของการผ่าตัด เทคนิคที่นิยมใช้ รวมถึงประเภทซิลิโคนที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยที่สุด
สารบัญบทความ
- ศัลยกรรมเสริมหน้าอกคืออะไร? มีอะไรบ้างที่ควรทราบ?
- การผ่าตัดเสริมหน้าอก มีกี่ประเภท
- ประเภทของซิลิโคน สำหรับเสริมหน้าอก
- ก่อนเสริมหน้าอก พิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ
ศัลยกรรมเสริมหน้าอกคืออะไร?
การศัลยกรรมหน้าอก (Breast Augmentation หรือเสริมนม) คือการผ่าตัดเพื่อเพิ่มขนาดและปรับรูปทรงหน้าอกให้ได้สัดส่วนที่สวยงามและตอบโจทย์ความมั่นใจของแต่ละคน โดยการเสริมหน้าอกมักทำโดยการสอดใส่วัสดุเสริม เช่น ซิลิโคนหรือไขมันตนเอง เข้าไปในเนื้อหน้าอก เพื่อให้หน้าอกดูอวบอิ่มและมีรูปทรงชัดเจนมากขึ้น
การทำหน้าอกไม่ได้มีแค่เรื่องความสวยงาม แต่ยังช่วยให้หลายคนรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เช่น หลังการตั้งครรภ์ที่หน้าอกแบนลง หรือผู้ที่รู้สึกว่าเนินอกไม่สมส่วนกับรูปร่าง การเสริมหน้าอกสามารถช่วยปรับสมดุลของร่างกาย ทำให้รูปร่างดูได้สัดส่วนและดูดียิ่งขึ้น
การผ่าตัดเสริมหน้าอก มีกี่ประเภท
วิธีเสริมหน้าอกไม่ได้มีเพียงวิธีเดียว แต่แบ่งออกได้เป็น 3 วิธี ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดี ข้อจำกัดและเหมาะกับความต้องการที่แตกต่างกัน ดังนี้
- ผ่าตัดเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน
เป็นการผ่าตัดเสริมหน้าอกที่ได้รับความนิยมและใช้กันแพร่หลาย เนื่องจากซิลิโคนมีความคงทนและให้สัมผัสที่ใกล้เคียงกับหน้าอกธรรมชาติ การวางซิลิโคนสามารถทำได้หลายตำแหน่ง เช่น
- ใต้กล้ามเนื้อ (Submuscular): เหมาะสำหรับคนที่มีเนื้อหน้าอกน้อย ช่วยลดการมองเห็นขอบซิลิโคน และให้รูปทรงที่ดูเนียน
- ใต้เนื้อเต้านม (Subglandular): ทำให้หน้าอกดูเต็มกว่า เหมาะสำหรับคนที่มีเนื้อหน้าอกอยู่แล้ว
- แบบ Dual Plane: ผสมผสานข้อดีของการวางใต้กล้ามเนื้อและใต้เนื้อเต้านม ช่วยให้ดูเป็นธรรมชาติและลดการเกิดพังผืดรัดซิลิโคน
- ผ่าตัดเสริมหน้าอกด้วยไขมันตนเอง
เทคนิคนี้ใช้การดูดไขมันจากส่วนอื่นของร่างกาย เช่น หน้าท้อง ต้นขา หรือสะโพก แล้วนำมาฉีดเติมเต็มที่หน้าอก ข้อดีคือไม่ต้องใช้สิ่งแปลกปลอม เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเสริมหน้าอกเพิ่มขนาดเล็กน้อยและต้องการความเป็นธรรมชาติสูง อย่างไรก็ตาม ไขมันที่ฉีดเข้าไปอาจสลายได้บางส่วน ทำให้ผลลัพธ์การเสริมหน้าอกอาจไม่ถาวรเท่าการใส่ซิลิโคน และไม่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเพิ่มขนาดมาก ๆ
- ผ่าตัดเสริมหน้าอกแบบ Hybrid
เป็นการเสริมหน้าอกแบบผสมผสานระหว่างการใช้ซิลิโคนและการฉีดไขมันตนเองในคราวเดียว โดยซิลิโคนจะสร้างโครงสร้างหน้าอกหลัก ส่วนไขมันจะช่วยเติมเต็มขอบและเนื้อหน้าอกให้ดูเนียนธรรมชาติ ช่วยลดการมองเห็นขอบซิลิโคน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและกลมกลืนกับรูปร่างเดิม
ประเภทของซิลิโคน สำหรับเสริมหน้าอก
การเลือกประเภทซิลิโคนถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการทำหน้าอก เพราะมีผลต่อทั้งความรู้สึกเมื่อสัมผัส รูปร่าง ความคงทน และความปลอดภัย ซิลิโคนที่ใช้ในการเสริมหน้าอกสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
ซิลิโคนเจลเหลว (Liquid Silicone Gel)
ซิลิโคนชนิดนี้มีเนื้อเจลเหลวที่มีความนุ่มและยืดหยุ่นสูง เมื่อสัมผัสจะให้ความรู้สึกนุ่มเหมือนเต้านมธรรมชาติ ทำให้เป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการหน้าอกดูเป็นธรรมชาติ ซิลิโคนเจลเหลวมักถูกออกแบบมาเพื่อให้เคลื่อนไหวตามแรงโน้มถ่วงได้ดี ช่วยให้ทรงหน้าอกดูเป็นธรรมชาติในทุกอิริยาบถ
ข้อดี:
- ให้สัมผัสนุ่มละมุน คล้ายกับเนื้อเต้านมจริง
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการความเป็นธรรมชาติสูง
- หน้าอกสวยธรรมชาติ
ข้อควรระวัง:
หากเกิดการรั่วซึม ซิลิโคนอาจกระจายเข้าสู่เนื้อเยื่อได้ จึงจำเป็นต้องตรวจสุขภาพและถ่ายภาพแมมโมแกรมเป็นระยะ แต่หากใช้ซิลิโคนเหลวที่มีคุณภาพ โอกาสรั่วซึมค่อนข้างต่ำ
ซิลิโคนเจลเข้มข้น (Cohesive Silicone Gel)
ซิลิโคนเจลเข้มข้นหรือที่เรียกว่าซิลิโคนเจลกึ่งของแข็ง มีเนื้อเจลที่เหนียวและคงรูปได้ดีกว่าซิลิโคนเจลเหลว แม้จะฉีกขาด เจลภายในก็จะคงรูปและไม่ไหลออกมา ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดการรั่วซึมและการกระจายตัวของซิลิโคนหลังเสริมหน้าอก
ข้อดี:
- ความคงทนสูง ลดความเสี่ยงการรั่วซึม
- ให้ทรงหน้าอกสวย กลมกลืนและดูกระชับ
- ให้สัมผัสนุ่มแต่ยังคงรูปได้ดี
ข้อควรระวัง:
อาจมีความรู้สึกแน่นและแข็งกว่าเจลเหลวเล็กน้อย โดยเฉพาะในช่วงแรกหลังการผ่าตัด
ซิลิโคนแบบฟองอากาศ (Saline Implants)
เป็นซิลิโคนที่ภายในบรรจุน้ำเกลือ (Saline) ซึ่งเป็นสารละลายที่ปลอดภัยและใกล้เคียงกับของเหลวในร่างกาย หากเกิดการรั่วซึม น้ำเกลือสามารถถูกดูดซึมและขับออกจากร่างกายได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย ซิลิโคนชนิดนี้จะถูกเติมน้ำเกลือหลังจากสอดใส่เปลือกซิลิโคนเข้าไปในหน้าอกแล้ว ทำให้แผลเสริมหน้าอกเล็กลงและลดความเสี่ยงการบาดเจ็บระหว่างผ่าตัด
ข้อดี:
- ปลอดภัยต่อร่างกายสูง หากเกิดรั่วซึมร่างกายจะดูดซึมได้ทันที
- แผลผ่าตัดเล็กลง เพราะสามารถเติมน้ำเกลือทีหลัง
- เหมาะกับคนที่กังวลเรื่องความปลอดภัยและต้องการแผลเล็ก
ข้อควรระวัง:
- การคงรูปอาจไม่ดีเท่าซิลิโคนเจล หน้าอกอาจดูยุบตัวหรือมีการรั่วซึมง่ายกว่าประเภทเจล
- สัมผัสไม่ค่อยนุ่มธรรมชาติเท่าซิลิโคนเจล
ซิลิโคนแบบโครงสร้าง (Structured Saline Implants)
พัฒนามาจากซิลิโคนแบบฟองอากาศ โดยมีโครงสร้างภายใน (Internal Structure) ที่ช่วยคงรูป ลดการยุบตัว และกระจายน้ำเกลือให้เสมอกันทั่วทั้งเต้านม จึงให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับซิลิโคนเจลธรรมชาติยิ่งขึ้น ซิลิโคนชนิดนี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการเสริมหน้าอกแบบผสานความปลอดภัยของน้ำเกลือเข้ากับความรู้สึกนุ่มธรรมชาติของซิลิโคนเจล
ข้อดี:
- ปลอดภัยเพราะใช้น้ำเกลือ แต่คงรูปได้ดีกว่าซิลิโคนฟองอากาศทั่วไป
- ลดการเกิดริ้วหรือยุบตัวของซิลิโคน
- ให้ความรู้สึกนุ่มและแน่นกว่าแบบฟองอากาศ
ข้อควรระวัง:
- ราคามักจะสูงกว่าแบบฟองอากาศทั่วไปเล็กน้อย
- ยังไม่ให้สัมผัสนุ่มพริ้วเท่าซิลิโคนเจลเข้มข้น
เสริมหน้าอก เพิ่มเสน่ห์ที่คุณปรารถนา
การเสริมหน้าอกเป็นการตัดสินใจที่สำคัญจึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเภทของการผ่าตัด ชนิดของซิลิโคน และผลลัพธ์ที่คาดหวัง การปรึกษาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้สามารถเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับตนเอง และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ควรเตรียมตัวทั้งด้านร่างกายและจิตใจก่อนการผ่าตัดเสริมหน้าอก รวมถึงปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดหลังการผ่าตัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและปลอดภัยในระยะยาว