ฝ้าเลือด คืออะไร? เกิดจากสาเหตุอะไร มีปัจจัยใดกระตุ้นให้เกิดบ้าง
หากกำลังประสบปัญหารอยแดง เส้นเลือดฝอยแตกแขนง คล้ายใยแมงมุม บนใบหน้า แต่ไม่รู้ว่า มันคืออะไร ซึ่งลักษณะดังกล่าว เรียกว่า หน้าเป็นฝ้าเลือด แล้วฝ้าเลือด คืออะไร โดยฝ้าเลือดเป็นฝ้าประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นได้จากสาเหตุ เช่น แสงแดด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อุณหภูมิที่ร้อนจัด พันธุกรรม เป็นต้น ซึ่งวิธีรักษาฝ้าเลือดจำเป็นต้องใช้เวลา ความอดทน และความสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ผิวที่เรียบเนียน ไร้รอยแดง
ฝ้าเลือดคืออะไร ?
ฝ้าเลือด คือ ฝ้าชนิดหนึ่งที่พบได้บนใบหน้า มักมีลักษณะฝ้าเลือดเป็นรอยแดง ปื้นแดง หรือเส้นเลือดฝอยแตกแขนง มองดูคล้ายใยแมงมุม บนผิวหน้า โดยอาจมีสีแดง สีน้ำตาลแดง หรือสีชมพู ไปจนถึงสีคล้ำ ขึ้นอยู่กับความรุนแรง ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Telangiectatic Melasma
โดยฝ้าเลือดสามารถเรียกได้หลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็นฝ้าฮอร์โมนหรือฝ้าเส้นเลือด ซึ่งมักพบได้บริเวณใบหน้า ได้แก่ โหนกแก้ม, หน้าผาก, สันจมูก, ริมฝีปากบน, คาง เป็นต้น
สาเหตุและปัจจัยของการเกิดฝ้าเลือด
ฝ้าเลือด เกิดจากหลาย ๆ สาเหตุ อีกทั้งเมื่อมีปัจจัยอื่นมากระตุ้น ก็สามารถทำให้เกิดฝ้าเลือดได้ง่าย โดยสาเหตุหลักของฝ้าเส้นเลือดเหล่านี้ มีดังนี้
- รังสียูวีจากแสงแดด เป็นตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าเลือด แสงแดดจะไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้เส้นเลือดฝอยอ่อนแอ เกิดรอยแดง และแตกแขนง
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงตั้งครรภ์ วัยหมดประจำเดือน หรือการใช้ยาคุมกำเนิด กระตุ้นให้เกิดฝ้าเลือดได้ ฮอร์โมนจะไปกระตุ้นเซลล์เม็ดสีเมลานิน ทำให้เกิดรอยคล้ำบนผิว
นอกจากสาเหตุดังกล่าวแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าเลือดอีกด้วย เช่น
- อุณหภูมิที่ร้อนจัด หรือการเข้าอบซาวน่า ล้วนกระตุ้นให้เส้นเลือดฝอยขยายตัว ทำให้ฝ้าเลือดชัดเจนขึ้น
- ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาขยายหลอดเลือด ยาเคมีบำบัด ล้วนมีผลต่อระบบเลือดและฮอร์โมน ส่งผลให้เกิดฝ้าเลือด
- บุคคลที่มีประวัติครอบครัวเป็นฝ้า มีโอกาสเกิดฝ้าเลือดได้มากกว่า
และยังมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติม ซึ่งทำให้เกิดฝ้าเลือดได้ง่ายขึ้น เช่น
- เพศหญิง: ผู้หญิงมีโอกาสเป็นฝ้าเลือดมากกว่าผู้ชาย
- สีผิว: คนที่มีสีผิวขาว มีโอกาสเป็นฝ้าเลือดมากกว่าคนที่มีสีผิวคล้ำ
- โรคประจำตัว: โรคบางชนิด เช่น โรคไทรอยด์ โรคตับ โรคไต ล้วนเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดฝ้าเลือด
รักษาฝ้าเลือดด้วยวิธีการต่าง ๆ
สำหรับวิธีรักษาฝ้าเลือด ฝ้าฮอร์โมนเหล่านี้ จำเป็นต้องอาศัยความอดทนและความสม่ำเสมอ เนื่องจากฝ้าเลือดไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จึงต้องรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำได้ หากหยุดการรักษา โดยฝ้าเลือด รักษาได้หลายวิธี ดังนี้
ทำเลเซอร์ในการรักษาฝ้าเลือด
วิธีรักษาฝ้าเลือดวิธีแรก คือ การรักษาฝ้าเลือดด้วยเลเซอร์ ถือว่า เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้พลังงานแสงเลเซอร์ในการรักษา เลเซอร์จะส่งพลังงานไปยังเส้นเลือดฝอยที่ผิดปกติ ทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัว ลดรอยแดง และเส้นเลือดฝอยแตกแขนง ผลลัพธ์ที่ได้คือ รอยฝ้าเลือดจางลง ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น โดยสามารถเลือกใช้เลเซอร์ได้หลายประเภท เช่น
- เลเซอร์ KTP Nd:YAG มีความยาวคลื่น 532 นาโนเมตร เหมาะสำหรับรักษารอยแดง เส้นเลือดฝอย และรอยสิว
- เลเซอร์ Vascular Laser มีความยาวคลื่น 980 นาโนเมตร เหมาะสำหรับรักษารอยแดง เส้นเลือดฝอย และเส้นเลือดขอด
ทำ IPL ในการรักษาฝ้าเลือด
การรักษาฝ้าเลือดด้วย IPL หรือ Intense Pulsed Light เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้พลังงานแสง IPL ซึ่งมีความยาวคลื่นกว้าง (500 – 1200 นาโนเมตร) ยิงลงบนผิวหน้า พลังงานแสงจะเปลี่ยนเป็นความร้อน ทำลายเม็ดสีที่ผิดปกติ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัว ส่งผลให้รอยฝ้าเลือดจางลง ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น
ข้อดีของการรักษาฝ้าเลือดด้วย IPL คือ เห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็ว รักษาได้อย่างแม่นยำ ปลอดภัย มีผลข้างเคียงน้อย ไม่ต้องพักฟื้น และสามารถรักษาปัญหาผิวอื่น ๆ ได้พร้อมกัน เช่น กระ ฝ้า ริ้วรอย แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูง อาจต้องทำการรักษาหลายครั้ง ซึ่งขึ้นอยู่กับความรุนแรงของฝ้า โดยทั่วไปแล้ว อาจต้องทำการรักษา 2 – 5 ครั้ง ห่างกัน 4 – 6 สัปดาห์ และไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวไวต่อแสง
ใช้สกินแคร์ในการรักษาฝ้าเลือด
วิธีรักษาฝ้าเลือดด้วยธรรมชาติ คือ การใช้สกินแคร์ ถือว่า เป็นวิธีที่สะดวก ปลอดภัย สามารถทำได้เองที่บ้าน แต่ต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่เร็วเท่าการรักษาด้วยเลเซอร์ หรือ IPL โดยสามารถเลือกสกินแคร์ที่ใช้รักษาฝ้าเลือด ดังนี้
- ครีมกันแดด ช่วยป้องกันแสงแดด ควรทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป เป็นประจำทุกวัน
- ครีมที่มีส่วนผสมของกรดอะเซลาอิก โดยกรดอะเซลาอิกมีประสิทธิภาพในการลดการสร้างเม็ดสี เมลานีน ช่วยให้รอยฝ้าฮอร์โมนจางลง
- ครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน ซึ่งเป็นยารักษาฝ้าที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
- ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินซี เนื่องจากวิตามินซีช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัย ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน
- ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินอี โดยวิตามินอีช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น
- ครีมที่มีส่วนผสมของไนอาซินาไมด์ เพราะไนอาซินาไมด์ช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานีนช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน
อย่างไรก็ตาม การใช้สกินแคร์รักษาฝ้าเลือด อาจจะต้องใช้เวลา 2 – 3 เดือน ขึ้นไป ถึงจะเห็นผลลัพธ์ ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้สกินแคร์ทุกชนิด และที่สำคัญ คือ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนใช้ครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน
แนวทางในการป้องกันฝ้า
ในการป้องกันการเกิดฝ้าหรือฝ้าเลือด เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการรักษาฝ้าให้หายขาดนั้นทำได้ยาก การป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดฝ้า โดยสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- แสงแดดเป็นสาเหตุหลักที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00 น. ถึง 16.00 น. โดยสวมหมวก กางร่ม ใส่แว่นกันแดด
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ควรเลือกครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป และมีค่า PA +++ ขึ้นไป ทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง
- ดูแลผิวหน้าให้สะอาด ด้วยการล้างหน้าให้สะอาด เช้า-เย็น โดยใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยนต่อผิว
- ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง
- รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผัก ผลไม้
- ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น
- พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวัน ช่วยให้ผิวหน้าดูสดใส
- หลีกเลี่ยงความเครียด เพราะความเครียดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดฝ้าเลือด ควรหาเวลาผ่อนคลาย
- ควรงดสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่ส่งผลเสียต่อผิว
- หากมีปัญหาฝ้าเลือด ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง เพื่อหาสาเหตุและรับคำแนะนำในการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม
สรุปเกี่ยวกับฝ้าเลือด
ฝ้าเลือด คือ ฝ้าชนิดหนึ่ง ลักษณะฝ้าเลือดเป็นรอยแดง ปื้นแดง หรือเส้นเลือดฝอยแตกแขนง มองดูคล้ายใยแมงมุม บนผิวหน้า เป็นปัญหาผิวที่รักษายาก จำเป็นต้องอาศัยความอดทนและความสม่ำเสมอในการรักษา ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการใช้เลเซอร์ การทำ IPL หรือเลือกใช้สกินแคร์ เพื่อให้ได้ผิวเรียบเนียน ช่วยให้รอยฝ้าฮอร์โมนจางลง