ศัลยกรรมปลูกผม วิธีทำให้ผมดก แลดูเป็นธรรมชาติ
ทุกปัญหามีทางออก และแก้ไขได้ เช่นเดียวกันกับปัญหาผมร่วง ผมบาง หรือผมล้าน เพียงแค่หาต้นตอของปัญหาว่าเกิดจากสิ่งใด เช่น กรรมพันธุ์สืบทอดจากคนในครอบครัว, ฮอร์โมนทำงานผิดปกติ หรือแผลเป็นจากอุบัติเหตุ เป็นต้น แล้วจึงหาวิธีรักษาที่เหมาะสม เช่น การปลูกผมถาวร หรืออาจต้องทำการรักษาควบคู่กับการใช้ยา
ศัลยกรรมปลูกผม นับเป็นศัลยกรรมความงามชนิดหนึ่งที่สามารถช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับผมบาง เพิ่มความมั่นใจ ปรับปรุงบุคลิกภาพให้ดูดีขึ้น แต่วิธีนี้ควรเลือกใช้กับคนไข้ที่มีปัญหาผมบางที่มีอายุขั้นต่ำ 20-30 ปีขึ้นไป
ปลูกผม คืออะไร
การปลูกผม หรือปลูกผมถาวร ก็คือศัลยกรรมปลูกผม (Hair Transplant) มันเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งที่ใช้ในการรักษาปัญหาผมล้าน, ผมบางหรือ ผมร่วงอย่างรุนแรง ที่แพทย์ส่วนใหญ่จะเลือกใช้ในกรณีที่อาการผมบางรุนแรงและวิธีรักษาอื่น ๆ ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
ศัลยกรรมปลูกผม คือ การนำรากผมบริเวณท้ายทอย และบริเวณเหนือกกหูที่ไม่มีต่อมรับฮอร์โมนเพศ DHT (Donor Area) มาใช้ในการปลูกตรงบริเวณที่ผมร่วง ผมบาง ผมล้าน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ได้เป็นผมจริง ผมถาวร ที่สามารถยาว ร่วงได้และขึ้นใหม่ได้แบบเป็นธรรมชาติภายในเวลา 12-18 เดือน
ประเภทของการปลูกผม
เทคนิคการปลูกผมในปัจจุบันมีอยู่ 2 แบบ คือ วิธีปลูกผม Strip FUT และ วิธีปลูกผม FUE ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้ให้ผลลัพธ์ที่เหมือน ๆ กัน แต่จะแตกต่างกันตรงที่กระบวนการนำเอาเซลล์รากผมมาปลูกบริเวณผมบาง ที่มี
ผลกระทบโดยตรงต่อวิธีการดูแล การพักฟื้น
การปลูกผมทั้ง 2 วิธีนี้ แพทย์ผู้ทำจะให้ยานอนหลับอย่างอ่อนก่อนแล้วตามด้วยยาชา เมื่อยาออกฤทธิ์ก็จะเริ่มกระบวนการผ่าตัดเล็กที่ใช้เวลาประมาณ 4-6 ชั่วโมง ซึ่งขึ้นกับขนาดของบริเวณที่จะทำการปลูกผมว่ามากหรือน้อย
วิธีปลูกผม FUE (Follicular Unit Excision)
ขั้นตอนในการปลูกผมแบบไม่ผ่าตัด ไม่ต้องเย็บแผล FUE จะเป็นดังนี้
- แพทย์จะใช้เครื่องมือเจาะที่มีขนาด 0.8-1.0 มิลลิเมตร เพื่อเจาะเอาเซลล์รากผมออกมาทีละกอจากบริเวณท้ายทอยหรือเหนือกกหู แล้วนำมาคัดแยกและจัดกลุ่ม
- นำเซลล์รากผมที่เก็บมาไปแช่ในน้ำยาเฉพาะทาง ที่จะช่วยเพิ่มอัตราการอยู่รอด และการเจริญเติบโตของเซลล์รากผม
- หลังจากนั้น นำเซลล์รากผมไปปลูกบริเวณที่ผมร่วง, ผมบาง โดยการใช้เครื่องมือ Implanter ที่ช่วยลดความเสียหายให้กับเซลล์รากผม
จุดเด่นของการใช้เทคนิค FUE ในการปลูกผม
- แผลที่เกิดขึ้นจะมีขนาดเล็กกว่า 1 มิลลิเมตร การที่มีผมยาวกว่า 3 มิลลิเมตรก็จะทำให้ไม่เห็นรอยแผล และยังสามารถไว้ผมทรง skin head ได้โดยไม่ต้องกังวลแผลบนศีรษะ เพราะแผลหายเร็ว
- กระบวนการนำเซลล์รากผมออกจากศีรษะจะเจ็บน้อย ไม่ต้องพักฟื้นนาน
- สามารถเก็บเซลล์เส้นผม/ขนบริเวณอื่นมาปลูกผมได้ เช่น ขนเครา ขนหน้าอก เป็นต้น
- เส้นผมที่งอกใหม่จะแข็งแรงกว่าเดิมไม่หลุดร่วงง่าย อีกทั้งแลดูเป็นธรรมชาติ
วิธีปลูกผม Strip FUT (Follicular Unit Transplantation)
ขั้นตอนในการปลูกผมแบบผ่าตัดขนาดเล็ก Strip FUT เป็นเทคนิคปลูกผมในยุคแรก ๆ
- แพทย์จะนำเอาเซลล์รากผมออกจากบริเวณท้ายทอย ด้วยการผ่าตัดเอาหนังศีรษะออกมาทั้งชิ้นเป็นแนวยาว 15-30 เซนติเมตร ขึ้นกับจำนวนกราฟผมที่ต้องใช้ในการปลูกผมให้คนไข้ หลังจากนั้นก็จะทำการเย็บแผลประกบกันซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์แผลจึงจะหายสนิท เหลือแต่รอยแผลเป็นไว้
- นำเซลล์รากผมที่ผ่าเสร็จมาแบ่งกราฟหรือกอผมด้วยกล้องจุลทรรศน์ (ใน 1 กราฟ หรือ 1 กอผม จะมีเส้นผมประมาณ 1-4 เส้น)
- หลังจากนั้นก็นำเซลล์รากผมที่เก็บมา ไปเลี้ยงในน้ำยาเฉพาะทางประมาณ 1-3 ชั่วโมงเพื่อเพิ่มอัตราการอยู่รอด และการเจริญเติบโตให้ดียิ่งขึ้น
- นำเซลล์รากผมไปปลูกบริเวณผมร่วง, ผมบาง โดยการใช้เครื่องมือ Implanter ที่ช่วยลดความเสียหายให้กับเซลล์รากผม
จุดเด่นของการใช้เทคนิค FUT ในการปลูกผม คือ
- ไม่จำเป็นต้องโกนผมก่อนผ่าตัด
- เหมาะกับคนไข้ที่ต้องใช้กราฟผมเป็นปริมาณมากในการปลูกผมถาวร หรือต้องปลูกผมซ้ำมากกว่าหนึ่งรอบ
- หลังจากเก็บเซลล์รากผม ก็ไม่ทำให้ผมบริเวณรอบ ๆ บางลง
- กราฟผมที่ได้มาจะมีความแข็งแรง โอกาสฝ่อหายไปตามอายุต่ำมาก
- ระยะเวลาในการปลูกผมสั้นกว่าและมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า
ข้อดีและข้อจำกัดของการปลูกผม มีอะไรบ้าง
การปลูกผมเพื่อแก้ปัญหาผมบาง ผมร่วงนั้น ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของผู้ที่มีปัญหาแต่ไม่ต้องการที่จะรักษาด้วยการกินยาเพียงอย่างเดียว เพราะได้รับผลลัพธ์เพียงแค่ระดับหนึ่งที่ช้า และไม่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาด้วยการปลูกผมถาวรก็จะยังคงมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ที่คนไข้ควรที่รับรู้ก่อนตัดสินใจ เช่นกัน
ข้อดีของการปลูกผม
- หลังปลูกผมซึ่งเป็นการผ่าตัดขนาดเล็ก จะใช้เวลาพักฟื้นสั้นเพียงไม่กี่วัน ก็สามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ
- เสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีให้แก่ผู้ปลูกผม
- เพิ่มความมั่นใจ เพิ่มโอกาสดี ๆ ให้แก่ชีวิต และทำให้หน้าดูเด็กลง เพราะสามารถเลือกแนวผมได้เอง
- ผมที่ได้จากการศัลยกรรมปลูกผมจะอยู่ถาวรบนหนังศีรษะตลอดไป ไม่ร่วงง่ายอีกต่อไป และดูเป็นธรรมชาติ
- ผลข้างเคียงน้อยเพราะใช้ผมจริงของคนไข้เอง
ข้อจำกัดของการปลูกผม
- ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเลือกการปลูกผมแบบ Strip FUT หรือ FUE ได้ เพราะในแต่ละวิธีก็จะมีข้อจำกัดต่างกันไป แบบ FUE ต้องมีสภาพกราฟผมที่สมบูรณ์เพียงพอกับบริเวณที่ต้องนำไปปลูก, แบบ Strip FUT ต้องมีหนังศีรษะที่ยืดหยุ่นพอสมควร เพราะต้องมีการผ่าตัดเอาหนังศีรษะตรงท้ายทอยออกมาในขนาดที่กว้างพอสมควร ก่อนที่จะเย็บปิดดังเดิม
- ควรที่จะมีเวลาพักฟื้นอย่างน้อย 3-5 วัน
ก่อนปลูกผม เตรียมตัวอย่างไร
หลังจากที่ได้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ เพื่อหาสาเหตุของปัญหาผมร่วง ผมบาง ผมล้านว่าเกิดจากอะไร พร้อมทั้งสรุปถึงวิธีรักษา และถ้าหากได้เลือกใช้วิธีปลูกผมถาวรในการรักษา ก็ต้องมีการเตรียมพร้อมทั้งก่อนและหลังการปลูกผม เนื่องจากการปลูกผมถาวรก็คือการผ่าตัดเล็กขนาดเล็ก
การเตรียมตัวก่อนปลูกผมถาวร มีดังนี้
- งดดื่มชา กาแฟ
- งดสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 สัปดาห์
- งดอาหารเสริมและยาทุกชนิดที่ทำให้เลือดออกง่าย เช่น แอสไพริน, Fish oil, ใบแปะก๊วย, วิตามินอี โสมสกัด เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
- งดกินยากระตุ้นรากผม เช่น Minoxidil และ Finasteride อย่างน้อย 3 เดือน
- ในวันที่นัดปลูกผม ควรสวมเสื้อติดกระดุม จะได้ถอดได้ง่ายไม่โดนบริเวณที่เพิ่งปลูกผมเพราะอาจจะกระทบกราฟผมที่เริ่มปลูก
- สระผมให้สะอาด หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมทุกชนิด และไม่ควรดัดผมอย่างน้อย 1 เดือนก่อนทำการปลูกผม
- ควรมีผู้ร่วมทางมาในวันที่เข้ารับการปลูกผม เพราะเป็นการผ่าตัดเล็กที่ใช้เวลาค่อนข้างนาน
- ควรวางแผนพักฟื้นอย่างน้อย 3-5 วัน ขึ้นกับสภาพของผู้รับการปลูกผม
วิธีปลูกผม
ขั้นตอนต่าง ๆ ในการปลูกผมของเทคนิค FUT และ FUE จะเหมือน ๆ กัน แตกต่างกันเล็กน้อยในกระบวนการนำเซลล์รากผมของคนไข้เองมาใช้ปลูกตรงบริเวณผมบาง
ขั้นตอนต่าง ๆ จะมีดังนี้
- หลังจากได้ผลสรุปจากการพูดคุยกับคนไข้ถึงแนวผมและตำแหน่งผมที่ต้องการแล้ว แพทย์ก็จะเป็นผู้กำหนดตำแหน่งปลูกผม
- แพทย์จะกำหนดตำแหน่งผ่าตัดนำเซลล์รากผมออกมาโดยการโกนผมให้สั้นเฉพาะตำแหน่งนั้น เพื่อง่ายต่อการผ่าตัด และดูแลรักษา
- หลังจากนั้นก็จะมีการวางยานอนหลับชนิดอ่อนจนออกฤทธิ์ จึงฉีดยาชาเฉพาะบริเวณที่จะนำเซลล์รากผมออกมา
- เมื่อยาชาออกฤทธิ์ แพทย์จะนำเซลล์รากผมออกมา ด้วยเทคนิคแบบ FUT หรือ FUE ตามที่ได้คุยไว้กับคนไข้
แบบ FUT : จะมีการตัดหนังศีรษะบางส่วนออกมา แล้วเย็บแผลให้ติดกันคืนดังเดิม ส่วนหนังศีรษะที่ตัดมานั้นก็จะมีการนำมาแยกกราฟ/กอผม ไปแช่ในน้ำยาเฉพาะ รอการปลูกผมขั้นต่อไป
แบบ FUE : จะใช้เครื่องมือเฉพาะเจาะเอาเซลล์รากผมออกมาแช่น้ำยาเฉพาะ รอการปลูกถ่าย
- จากนั้นแพทย์จะฉีดยาชาบริเวณที่ต้องการปลูกผม หลังจากนั้นใช้ Implanter ในการปลูกผมที่ละกราฟ เพื่อให้ได้ตำแหน่ง และทิศทางที่เหมาะสม ดูเป็นธรรมชาติที่สุด
หลังปลูกผม ดูแลตัวเองอย่างไร
ข้อปฏิบัติหลังจากปลูกผม ก็คือการดูแลรักษาผม ดังนี้
- งดแคะ เกาบริเวณที่เพิ่งปลูกผม เพราะเสี่ยงกับโอกาสที่กราฟผมหลุดได้ง่าย
- งดออกกำลังกายประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุกระทบกระเทือนศีรษะบริเวณที่ปลูกผม
- งดว่ายน้ำ ซาวน่า 4 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการตากแดดตรง ๆ เป็นเวลานาน ๆ ให้สวมหมวกป้องกันผมที่เพิ่งปลูกไว้
- เฉพาะวันแรกหลังปลูกผมให้งดสระผมด้วยตนเอง และให้ปฏิบัติตามแพทย์สั่งในการสระผม และควรใช้แชมพูสูตรอ่อนโยนในช่วง 2 สัปดาห์แรก
- งดดื่มแอลกอฮอล์ หรือ สูบบุหรี่อย่างน้อย 1 เดือน เพื่อไม่ให้ขัดขวางการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงหนังศีรษะ
- ควรนอนให้ศีรษะยกสูงขึ้นสำหรับช่วงแรก ๆ หลังปลูกผม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการปลูกผม
ปลูกผม เจ็บไหม
ระหว่างการปลูกผม แพทย์จะให้ยานอนหลับอย่างอ่อน ตามด้วยยาชาก่อนทำการผ่าตัด ดังนั้นคนไข้จะไม่รู้สึกเจ็บเลย และถึงแม้ว่ายาหมดฤทธิ์หลังผ่าตัด คนไข้อาจจะรู้สึกปวดเล็กน้อยในช่วงอรก แต่แพทย์จะสั่งยาให้กิน เพียงแค่ไม่กี่วันอาการหายปวดก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น
ปลูกผม อยู่ถาวรไหม
การปลูกผม ย่อมอยู่ถาวร เพราะใช้เซลล์รากผมจริงของคนไข้เองมาปลูกตรงบริเวณผมร่วงผมบาง หลังจากปลูกผมเดือนแรกเส้นผมก็จะเริ่มร่วงรวมทั้งบริเวณใกล้เคียงซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่กระทบต่อเซลล์รากผมเพราะผมใหม่จะเริ่มขึ้นภายในเดือนต่อมา เส้นผมใหม่ที่ขึ้นนี้จะใช้เวลาประมาณ 6-9 เดือน จะเห็นผลลัพธ์เต็มที่ภายใน 12-18 เดือน
สรุปเรื่องปลูกผม
ถึงแม้ว่าปัญหาผมร่วง ผมบาง ผมล้าน จะไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพกายก็ตาม แต่ที่แน่นอนคือมีผลต่อสุขภาพจิตอย่างมาก ทำให้ขาดความมั่นใจ ขาดบุคลิกภาพที่ดี ไม่ว่าจะเกิดกับผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม
ดังนั้นจึงได้มีการพัฒนาถึงวิธีแก้ปัญหาจนกระทั่งในปัจจุบันได้มีวิธีศัลยกรรมการปลูกผมอยู่ 2 วิธีที่เป็นที่รู้จักกันดี ก็คือ Strip Fut และ FUE รายละเอียดก็เป็นไปตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ทั้ง 2 วิธีดีเหมือนกันแต่ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของผู้ปลูกจะเป็นผู้เลือกใช้ร่วมกับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ