คู่มือสำหรับผู้เริ่มต้น รู้จักและอยู่กับโรคไบโพลาร์

ไบโพล่าร์

ท่ามกลางความผันผวนของอารมณ์ที่มนุษย์ทุกคนต่างเคยสัมผัส บางครั้งความรู้สึกสุขก็พุ่งทะยานถึงขีดสุด ในขณะที่บางคราวความเศร้าก็จมดิ่งลึกล้ำ ทว่าสำหรับผู้ป่วย “โรคไบโพลาร์” หรือ “โรคอารมณ์สองขั้ว” ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ แต่เป็นการเดินทางบนขบวนรถไฟเหาะที่ควบคุมไม่ได้ สลับขั้วระหว่างช่วงเวลาแห่งความคึกคักเกินจริง (Mania หรือ Hypomania) และห้วงแห่งความเศร้าที่ดำดิ่งอย่างไร้ก้นบึ้ง 

ทำความรู้จักเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์

โรคไบโพล่าร์

โรคไบโพลาร์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ โรคอารมณ์สองขั้ว เป็นภาวะผิดปกติทางจิตเวชที่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ โดยผู้ป่วยจะประสบกับ ช่วงเวลาที่อารมณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างสุดขั้ว สลับกันระหว่าง ภาวะสุขและภาวะซึมเศร้า ซึ่งแตกต่างจากความผันผวนทางอารมณ์ทั่วไปที่พบเจอในชีวิตประจำวัน

โดยอารมณ์ของผู้ป่วยโรคไบโพล่าร์เหมือนกับการนั่งรถไฟเหาะตีลังกา ที่มีทั้งช่วงเวลาที่พุ่งขึ้นสูงด้วยความคึกคักและพลังงานที่ล้นเหลือ และช่วงเวลาที่ดิ่งลงเหวด้วยความเศร้าและความท้อแท้ที่ยากจะบรรยาย 


โรคไบโพลาร์มีอาการอย่างไรบ้าง

รักษาไบโพล่า

โรคไบโพลาร์มีลักษณะเด่นคือการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ที่ผิดปกติและรุนแรง ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นช่วงต่าง ๆ ที่มีอาการแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

  • ช่วง Mania (อาการคลั่ง) เป็นช่วงที่อารมณ์สูงขึ้นอย่างผิดปกติ อาจรู้สึกมีความสุขมากเกินไป กระตือรือร้นผิดปกติ หรือหงุดหงิดง่ายอย่างมาก อาการในช่วงนี้จะต่อเนื่องอย่างน้อย 1 สัปดาห์ และรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก ผู้ป่วยไบโพล่าในช่วง Mania อาจมีอาการดังนี้
  1. รู้สึกมีความสุขมากเกินไป ยิ้มแย้ม หัวเราะตลอดเวลา หรือรู้สึกฮึกเหิมอย่างมาก
  2. รู้สึกมีพลังงานล้นเหลือ ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้โดยไม่รู้สึกเหนื่อย
  3. มีความคิดแล่นเร็ว พูดเร็ว เปลี่ยนเรื่องคุยบ่อย
  4. นอนน้อยลงมากแต่ยังรู้สึกสดชื่น
  5. เชื่อมั่นในความสามารถของตนเองมากเกินจริง อาจคิดว่าตนเองมีความสามารถพิเศษ
  6. ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย ลงทุนในสิ่งที่เสี่ยง มีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม
  7. ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นาน
  8. พูดเร็วและมากจนคนอื่นฟังไม่ทัน
  9. อาจรู้สึกฉุนเฉียว โกรธง่าย หรือก้าวร้าว
  • ช่วง Hypomania (อาการคลั่งน้อย) เป็นช่วงที่อารมณ์สูงขึ้นเล็กน้อยกว่า Mania อาการต่าง ๆ คล้ายกับ Mania แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า และไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากนัก อาการในช่วง Hypomania จะต่อเนื่องอย่างน้อย 4 วัน ผู้ป่วยโรคไบโพล่าร์ในช่วง Hypomania อาจมีอาการดังนี้
  1. รู้สึกมีความสุข กระตือรือร้น หรือหงุดหงิดมากกว่าปกติ
  2. รู้สึกมีพลังงานมากขึ้น ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้มากขึ้น
  3. มีความคิดแล่นเร็วขึ้น พูดเร็วขึ้น
  4. นอนน้อยลงแต่ยังรู้สึกพอใช้ได้
  5. รู้สึกมั่นใจในตนเองมากขึ้น
  6. ใช้จ่ายเงินมากขึ้นเล็กน้อย หรือพูดจาตรงไปตรงมามากขึ้น
  • ช่วง Depression (อาการซึมเศร้า) เป็นช่วงที่อารมณ์ต่ำลงอย่างมาก รู้สึกเศร้า สิ้นหวัง หรือหมดความสนใจในสิ่งต่างๆ ที่เคยชอบ อาการในช่วงนี้จะต่อเนื่องอย่างน้อย 2 สัปดาห์ และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยไบโพล่าร์ในช่วง Depression อาจมีอาการดังนี้
  1. รู้สึกเศร้า ว่างเปล่า หรือร้องไห้ง่าย
  2. ไม่สนใจหรือไม่รู้สึกสนุกกับกิจกรรมที่เคยชอบ
  3. น้ำหนักเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
  4. รูปแบบการนอนเปลี่ยนแปลงไป
  5. ไม่มีเรี่ยวแรง อ่อนเพลีย
  6. รู้สึกผิด ไร้ค่า หรือสิ้นหวัง
  7. ยากที่จะจดจำหรือตัดสินใจ
  8. สังเกตได้ว่าทำอะไรช้าลง หรืออยู่ไม่นิ่ง
  9. มีความคิดเกี่ยวกับการทำร้ายตัวเอง
  • ช่วง Mixed Episode (อาการผสมผสาน) ในบางครั้ง ผู้ป่วยไบโพล่าร์อาจมีอาการของทั้ง Mania/Hypomania และ Depression เกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น อาจรู้สึกกระวนกระวาย มีพลังงานสูง แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเศร้าและสิ้นหวัง ซึ่งเป็นภาวะที่ซับซ้อนและอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
  • ช่วง Euthymia (ช่วงอารมณ์ปกติ) เป็นช่วงที่ผู้ป่วยไบโพล่าร์ไม่มีอาการของทั้ง Mania/Hypomania และ Depression อารมณ์อยู่ในภาวะปกติ สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ช่วงนี้อาจกินเวลานานหรือไม่นานก็ได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและการรักษาไบโพล่า

โรคไบโพลาร์เกิดจากอะไร?

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเชื่อว่า โรคไบโพลาร์มีสาเหตุที่ซับซ้อนและเกิดจากการ ทำงานร่วมกันของปัจจัยทางชีวภาพ พันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งแต่ละปัจจัยเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ได้แก่

  • ปัจจัยทางชีวภาพ โดยสมองทำงานด้วยสารเคมีที่เรียกว่า สารสื่อประสาท (Neurotransmitters) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมอารมณ์ การนอนหลับ ความคิด และพฤติกรรม ในผู้ป่วยไบโพล่า เชื่อว่ามีความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทเหล่านี้
  • ปัจจัยทางพันธุกรรม ซึ่งโรคไบโพลาร์มีแนวโน้มที่จะ ถ่ายทอดทางพันธุกรรม หากมีบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ บุคคลนั้นจะมีความเสี่ยงสูงขึ้น ในการพัฒนาภาวะนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้จะต้องป่วยเสมอไป
  • ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม ก็สามารถเป็นตัวกระตุ้นหรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคไบโพลาร์ได้ เช่น ความเครียด การนอนหลับที่ไม่ปกติ การใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์ เหตุการณ์สะเทือนใจในวัยเด็ก เป็นต้น

การรักษาไบโพลาร์ทำได้อย่างไร?

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เช่น จิตแพทย์ จะเป็นผู้ประเมินอาการ วินิจฉัย และวางแผนวิธีรักษาไบโพล่าที่เหมาะสมกับผู้ป่วยไบโพลาร์แต่ละราย โดยทั่วไปแล้วการรักษาโรคไบโพล่ามักประกอบด้วยสองเสาหลักที่สำคัญ ได้แก่ การใช้ยารักษาไบโพล่า และ การบำบัดทางจิตใจ (Psychotherapy) ซึ่งทั้งสองส่วนนี้มักทำงานควบคู่กันไปเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ได้แก่

  • การรักษาด้วยยาไบโพล่า (Pharmacotherapy) เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาโรคไบโพลาร์ โดยมีบทบาทหลักในการปรับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง เพื่อควบคุมอาการในแต่ละช่วงอารมณ์ และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ยารักษาโรคไบโพล่ามีหลายกลุ่ม และแพทย์จะเลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับอาการและสภาวะของผู้ป่วยแต่ละรายอย่างละเอียด ตัวอย่างยารักษาไบโพล่า เช่น ยากันชัก ยาต้านอาการทางจิต หรือยาต้านเศร้า เป็นต้น
  • การบำบัดทางจิตใจ (Psychotherapy) เป็นวิธีรักษาโรคไบโพล่าในการช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจตนเอง จัดการกับอารมณ์ เรียนรู้ทักษะในการรับมือกับความเครียด และปรับปรุงความสัมพันธ์ การบำบัดมักดำเนินการโดยนักจิตวิทยา นักจิตบำบัด หรือจิตแพทย์

คนใกล้ตัวเป็นไบโพลาร์ต้องดูแลอย่างไร?

การดูแลคนใกล้ตัวที่เป็นโรคไบโพลาร์ ต้องเป็นผู้สนับสนุนที่เข้มแข็ง ช่วยประคับประคอง ให้กำลังใจ และเป็นหลักยึดเหนี่ยวในช่วงเวลาที่ยากลำบาก การดูแลอย่างเข้าใจและถูกต้องจะช่วยลดความเครียดของผู้ป่วย ส่งเสริมการรักษา และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฟื้นฟู ได้แก่

  • ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ โดยศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของโรค อาการในแต่ละช่วง แยกแยะอาการของโรคออกจากพฤติกรรมส่วนตัว และลดความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง
  • สังเกตและใส่ใจสัญญาณเตือน เช่น การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการนอนหลับ พฤติกรรมการใช้จ่ายที่ผิดปกติ การพูดเร็วขึ้น หรือการเก็บตัวมากขึ้น
  • สนับสนุนให้เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
  • สร้างสภาพแวดล้อมที่มั่นคง พยายามลดปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความเครียดในชีวิตประจำวัน
  • รับฟังและให้กำลังใจอย่างสม่ำเสมอ อยู่เคียงข้างและพร้อมที่จะสนับสนุน
  • สนับสนุนให้ผู้ป่วยดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจของตนเอง เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และการทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด
  • เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนสำหรับครอบครัวผู้ป่วยไบโพลาร์ จะได้พบปะพูดคุยกับผู้ที่มีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน แลกเปลี่ยนความรู้ และรับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์

สรุปเกี่ยวกับไบโพลาร์

โรคไบโพลาร์ หรือโรคอารมณ์สองขั้ว เป็นภาวะทางจิตเวชที่ซับซ้อนและส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้ป่วย อาการของโรคไบโพลาร์มีความหลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยการรักษาโรคไบโพล่าที่มีประสิทธิภาพ ต้องศึกษาว่าโรคไบโพลาร์รักษาที่ไหนดี ซึ่งมักเป็นการผสมผสานระหว่าง การใช้ยา เพื่อปรับสมดุลสารเคมีในสมอง และการบำบัดทางจิตใจ โดยผู้ดูแลต้องทำความเข้าใจโรค ให้กำลังใจและสนับสนุนให้เข้ารับการรักษา พร้อมสร้างสภาพแวดล้อมที่มั่นคงให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้

Similar Posts