เลือดออกในสมอง

เลือดออกในสมองภัยร้ายเฉียบพลัน อันตรายถึงชีวิต

เลือดออกในสมอง

เลือดออกในสมอง ไม่รู้สึกตัวรีบรักษาก่อนเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต อาการเลือดออกในสมองเป็นภาวะที่หลอดเลือดในสมองแตกจนไปกดทับเนื้อเยื่อในสมอง ทำให้เกิดอาการชา แขนขาอ่อนแรง ตาพร่ามัว ปวดหัวรุนแรง ปากเบี้ยว มองไม่ชัดและเป็นลมได้ เนื่องจากสมองขาดออกซิเจน ความรุนแรงของอาการเลือดคั่งในสมองขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดเลือดคั่งในสมอง เรามาลดความเสี่ยงการเกิดโรคเลือดออกในสมอง ซึ่งจะมีอะไรบ้าง ไปทำความรู้จักกันได้เลย


ภาวะเลือดออกในสมองคืออะไร?

intracerebral hemorrhage คือ โรคเลือดออกในสมองปกติแล้วมนุษย์จะมีเส้นเลือดในสมองเพื่อนำออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงสู่สมอง หากเกิดภาวะเลือดออกในสมอง อันตรายไหม (Intracerebral hemorrhage/Brain bleeds) จะทำให้เลือดไหลออกไปกดทับเนื้อเยื่อสมอง เลือดเลี้ยงสมองไม่พอและสมองขาดออกซิเจนในที่สุด ผู้ป่วยจะมีอาการชัก คอเกร็งหายใจไม่ออก เป็นหนึ่งในสาเหตุที่มีผู้เสียชีวิตมาก วิธีแก้คือต้องเข้ารับการรักษาโดยเร็ว 


สาเหตุหลักที่ทำให้เลือดออกในสมอง

เลือดคั่งในสมอง

เลือดออกในสมอง (ICH) เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุทั้งโรคประจำตัว, พฤติกรรมการใช้ชีวิต, อุบัติเหตุลื่นล้มศีรษะกระแทกพื้น หรือโดนของแข็งที่ศีรษะ แต่สาเหตุหลักมาจากหลอดเลือดในสมองเสื่อมและเกิดการเปราะแตก ได้แก่

  • ศีรษะถูกกระแทก (Head trauma) จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ อุบัติเหตุกีฬา ศีรษะถูกกระแทกกะโหลกร้าว เลือดออกในสมอง ถูกฟาดที่ศีรษะหรือได้รับการบาดเจ็บที่ศีรษะเป็นต้น
  • ความเครียด (Stress disease) เชื่อมโยงกับโรคหลอดเลือดสมองหากปล่อยให้ร่างกายเจอกับความเครียดอย่างต่อเนื่อง
  • โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) ส่วนมากผู้ป่วยโรคนี้จะเกิดเลือดคั่งในสมอง อาการแบบไม่รู้สึกตัว ผนังหลอดเลือดได้รับความเสียหายจากอาการป่วยเป็นระยะเวลานาน
  • โรคหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) ไขมันเกาะเส้นเลือดจึงทำให้ไขมันในหลอดเลือดแดงติดขัด
  • โรคลิ่มเลือดอุดตัน (Blood clot) ลิ่มเลือดอาจเกิดขึ้นบริเวณสมอง ซึ่งการอุดตันของเส้นเลือดอาจทำให้เลือดออกในสมองได้
  • เนื้องอกในสมอง (Brain Tumor) เกิดการเบียดหลอดเลือดในสมองจนทำให้หลอดเลือดแดงแตก
  • ภาวะ (AVM) หลอดเลือดปานในสมอง
  • ครรภ์เป็นพิษ (Eclampsia) มีภาวะชัก เกร็ง หมดสติร่วมด้วย
  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์จัด รวมไปถึงการใช้สารเสพติดชนิดต่างๆ

อาการเลือดออกในสมองเป็นอย่างไร น่ากลัวมากแค่ไหน ?

อาการเลือดออกในสมอง จากการกระแทกเป็นกลุ่มหนึ่งของโรคหลอดเลือดสมอง สามารถเกิดขึ้นไปทุกเพศทุกวัยแบบเฉียบพลัน แต่มักพบบ่อยในผู้สูงอายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป โรคเลือดออกในสมองจัดเป็นภาวะอันตรายที่ควรรีบรักษา อาจส่งผลรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต อาการแต่ละอย่างอาจแตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่มีเลือดออกในสมอง อาการโดยทั่วไป คือ

  1. ล้มหัวฟาดพื้น เลือดคั่งในสมองอาการปวดหัวรุนแรง รู้สึกวิงเวียน คลื่นไส้หรือหมดสติ
  2. แขนขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง ปากเบี้ยวฉับพลันและเกิดอาการเหน็บชา
  3. มองเห็นภาพไม่ชัด ภาพซ้อน ตาพร่ามัว
  4. หายใจลำบาก กลืนน้ำลายไม่เข้า
  5. เสียการทรงตัวจากระบบประสาท
  6. หัวใจเต้นผิดปกติ
  7. มีอาการชักเกร็ง 
  8. พูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง สื่อสารบกพร่อง

รักษาเลือดออกในสมองแบบผ่าตัดและไม่ผ่าตัด

เลือดออกในสมอง โอกาสรอด

เลือดออกในสมอง การรักษาแพทย์จะเลือกแนวทางรักษาที่เหมาะสมกับสาเหตุ ซึ่งอยู่กับตำแหน่งเลือดออกในสมอง รวมไปถึงปริมาณเลือดออกในสมองเกิดจากอะไร เพื่อช่วยให้รักษาได้อย่างตรงจุดและทันท่วงที ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้เร็วมีโอกาสรอดสูง โดยมีวิธีรักษาแบบผ่าตัดและไม่ผ่าตัดได้แก่

การรักษาแบบผ่าตัด (Surgery)

เมื่อตรวจพบว่าเลือดออกในสมองเป็นบริเวณกว้าง จากการล้มหัวฟาดพื้น เลือดออกในสมองหรือประสบอุบัติเหตุฉุกเฉิน โดยแพทย์อาจใช้วิธีผ่าตัดตามอาการของโรค ดังนี้

  • ผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ (Craniectomy incision) เพื่อลดอาการบวมในสมอง จากการนำลิ่มเลือดหรือก้อนเลือดออกช่วยลดความดันในสมอง การผ่าตัดจะใส่สายระบายเลือดช่วยลดน้ำจากโพรงสมองและระบายเลือดคั่งต่างๆ ออกไป
  • ผ่าตัดใช้คลิปหนีบเส้นเลือดโป่งพอง (Clipping) แพทย์จะทำการผ่าตัดเมื่อหลอดเลือดสมองมีการโป่งพองแต่ยังไม่แตก โดยใช้คลิปหนีบบริเวณเส้นเลือดเพื่อกันไม่ให้เส้นเลือดโป่งพองแตกออก
  • การผ่าตัด AVM (Arteriovenous malformation) การรักษาหลอดเลือดที่ผิดปกติจากการเชื่อมต่อระหว่างหลอดเลือดแดง หลอดเลือดดำ ซึ่งอาจทำให้หลอดเลือดแตกได้จากการไหลเวียนเลือดในสมองเร็วเกินไป เป็นวิธีรักษาเลือดออกในสมองจากการกระแทกอย่างหนึ่ง

การรักษาแบบไม่ผ่าตัดด้วยยา (medications treatment)

หากจุดที่พบว่าเลือดออกในสมองเป็นจุดเล็กไม่มีอาการของโรค จากผลการ CT Scan เพื่อประเมินผลการรักษา แพทย์จะใช้วิธีจ่ายยาเพื่อรักษาความดันโลหิต, ยาลดสมองบวมและลดความเสียหายจากอาการเลือดคั่งในสมอง, ยาคลายกังวล, ยากันลมชัก, ยาแก้ปวดหัวชนิดรุนแรง, ยาป้องกันการท้องผูก แพทย์จะตรวจติดตามอาการและภาพถ่ายสมองเป็นระยะ ผู้ป่วยควรมาตามนัดตรวจอาการของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

การปรับยา

ผู้ป่วยภาวะเลือดออกในสมองจำเป็นต้องทานยาอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลาตามแพทย์สั่ง คุณควรไปพบแพทย์ทุกครั้งที่มีการนัดประเมินอาการ เพื่อให้แพทย์ปรับลด-เพิ่มขนาดยาหรือจ่ายยาชนิดใหม่ใช้รักษาอาการไม่ให้เลือดซึมในสมอง


เลือดออกในสมองภัยร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้จากความเครียด

การรักษาโรคเลือดออกในสมองเป็นการช่วยผู้ป่วยให้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติ แต่สิ่งที่ดีกว่าการรักษาคือ การป้องกันอาการเลือดคลั่งในสมอง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเลือดซึมในสมองตั้งแต่แรกจากสาเหตุต่างๆ รอบตัวเช่น ความเครียด, อุบัติเหตุ, โรคประจำตัวและพฤติกรรมการใช้ชีวิต ถ้ารักษาภาวะนี้หายก็สามารถป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำได้ในอนาคต


Similar Posts