อาการโรคซึมเศร้า เกิดขึ้นได้อย่างไร พร้อมวิธีการรับมือด้วยตัวเอง
ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันล้วนส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจจนทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้ เช่น ปัญหาครอบครัว ปัญหาเพื่อน ปัญหาความสัมพันธ์ในที่ทำงาน ปัญหาหนี้สิน หรือปัญหาการว่างงาน เป็นต้น รวมถึงอาจเกิดจากปัจจัยทางสารสื่อประสาทในสมอง เช่น ซีโรโทนิน (serotonin) นอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) และโดพามีน (dopamine) เป็นต้น
โรคซึมเศร้า คืออะไร
โรคซึมเศร้า หรือ Depressive disorder คือภาวะทางอารมณ์ที่มีความเศร้าหรือหดหู่อย่างมากและยาวนาน ซึ่งมีผลกระทบทั้งต่อการทำงาน การเรียน และความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้ โรคซึมเศร้าไม่ใช่เพียงแค่อาการเศร้าที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แต่เป็นสภาวะทางจิตที่มีอารมณ์ด้านลบอย่างมาก ทำให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวันได้ยากลำบาก โดยอาจมีอาการน้ำหนักลดลงอย่างมาก นอนมากหรือน้อยเกินไป ขาดความสนใจในกิจกรรมที่เคยชอบ หรือมีความคิดเกี่ยวกับการตายหรือทำร้ายตนเองได้
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้า
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้ามีได้หลายปัจจัย ซึ่งอาจเกิดได้จากตัวอย่างเช่น
- ด้านชีวภาพ
- ความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง เช่น ซีโรโทนิน (serotonin) นอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) และโดพามีน (dopamine) ซึ่งหากมีการหลั่งสารที่ไม่สมดุล ก็อาจทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้
- ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
- เกิดจากโรคบางชนิด เช่น โรคไทรอยด์ โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน
- การใช้สารเสพติด เช่น แอลกอฮอล์ กัญชา ยาบ้า
- ด้านจิตใจ
- มีความขี้กังวล คิดมาก มองโลกในแง่ร้าย จนเกิดความเครียดสะสม และนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
- พบกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ เช่น การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก การหย่าร้าง การตกงาน การถูกกลั่นแกล้ง
- ด้านปัญหาต่าง ๆ
- ปัญหาความสัมพันธ์ เช่น ปัญหาครอบครัว ปัญหาเพื่อน ปัญหาความสัมพันธ์ในที่ทำงาน
- ปัญหาการเงิน เช่น ปัญหาหนี้สิน ปัญหาการว่างงาน
- การถูกกลั่นแกล้ง การถูกคุกคาม
อาการของโรคซึมเศร้า
อาการของโรคซึมเศร้า สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้
- ทางด้านอารมณ์ เช่น
- มีความรู้สึกเศร้าหดหู่ ไม่มีความสุข
- หงุดหงิดโมโหง่าย
- มองโลกในแง่ร้าย
- รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่มีประโยชน์
- รู้สึกเบื่อ และไม่อยากทำอะไร
- รู้สึกอ่อนไหว ร้องไห้ง่าย
- หมดความสนใจในสิ่งที่ชอบ
- ทางด้านความคิด เช่น
- คิดมาก และคิดวนเวียนแต่เรื่องเดิม ๆ
- มีสมาธิสั้น ไม่กล้าตัดสินใจ
- มีอาการความจำเสื่อม
- มีความคิดทำร้ายตัวเอง หรือคิดฆ่าตัวตาย
- ทางด้านพฤติกรรม เช่น
- เบื่ออาหาร หรือมีการกินที่มากเกินไป
- มีอาการนอนไม่หลับ หรือนอนหลับมากเกินไป
- อ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง
- การเคลื่อนไหวช้าลง หรือมีความกระวนกระวาย
- ไม่อยากทำกิจกรรมที่เคยชอบ
- เก็บตัวแยกตัวจากสังคม
ทั้งนี้อาการของโรคซึมเศร้า อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจมีอาการครบทั้ง 3 กลุ่ม บางคนอาจมีอาการเพียงบางกลุ่ม หากมีอาการที่กล่าวมา ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตทันที
โรคซึมเศร้าสามารถรักษาหายไหม
โรคซึมเศร้าสามารถรักษาหายได้ และมีวิธีการรักษาหลายวิธีที่มีประสิทธิภาพ โดยการรักษาโรคซึมเศร้าบางครั้งอาจเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาและต้องการความตั้งใจจากผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ วิธีการรักษาที่พบบ่อย เช่น
- ปรึกษากับนักจิตวิทยา สามารถช่วยสำหรับจัดการกับอารมณ์และความคิดที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้
- รับประทานยาต่าง ๆ ที่เป็นทั้งยาต้านเศร้า (antidepressants) และยาที่ทำให้หลับหรือผ่อนคลาย (anxiolytics) สามารถช่วยลดอาการของโรคซึมเศร้าได้
- รักษาโดยการใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นสมอง
- เน้นดูแลสุขภาพทั้งกายและใจ เช่น การออกกำลังกาย การฝึกสมาธิ
ระยะเวลาการรักษา ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ โดยทั่วไปต้องใช้เวลา 6-12 เดือน
การป้องกันไม่ให้เกิดโรคซึมเศร้า
การป้องกันโรคซึมเศร้าเน้นทั้งการรักษาสุขภาพจิตและการพัฒนาสไตล์ชีวิตที่สมดุลเพื่อส่งเสริมความสุขและลดความเครียด เช่น
- รักษาสุขภาพจิตอย่างสม่ำเสมอ เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย นอนหลับเพียงพอ เป็นต้น
- จัดการกับอารมณ์และความเครียด โดยการฝึกสมาธิ
- ทำกิจกรรมเข้าสังคม มีการพูดคุยกับคนรอบข้าง
- ให้เวลาสำหรับการพักผ่อนและกิจกรรมที่ช่วยสำหรับผ่อนคลาย เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือทำโยคะ เป็นต้น
- หากมีอาการหรือความรู้สึกที่ไม่ดี เช่น ความเศร้า ความหดหู่ หรือความเครียด ควรพบผู้เชี่ยวชาญทางจิตเวชเพื่อปรึกษาและทำการรักษา
การป้องกันโรคซึมเศร้าคือกระบวนการที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ จะสามารถช่วยลดโอกาสสำหรับเกิดโรคซึมเศร้าและสร้างความเสถียรให้กับสุขภาพจิตของเราได้
สรุปเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งหากมีอาการที่ทำรู้สึกเหมือนว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า ควรเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด